
หลังจากเดินทางมาถึงปักกิ่ง และเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนในวันแรก ซึ่งเป็นวันจันทร์. วันที่สองเราก็ตื่นเช้ามาทานอาหารเช้าในโรงแรม. อาหารจะจืดๆ มันๆ, หาอาหารเค็มได้ยาก, อยากจะหาซีอิ๊วขาวมาหยดลงบนไข่ดาวสักหน่อยก็ไม่มี. เริ่มสงสัยว่าไอ้ซีอิ๊วขาวนี่มันเครื่องปรุงของจีนหรือของไทยกันแน่.

พระราชวังต้องห้าม
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางสู่พระราชวังต้องห้าม ภาษาจีนเรียกว่ากู้กง ออกเดินทางประมาณ 8:30 โดยขึ้นรถเมล์จากหน้าโรงแรม.


ใช้เวลานั่งรถประมาณ 30 นาที ก็มาถึงป้ายรถเมล์ใกล้ๆ กับพระราชวัง. เราแวะเข้าไปซื้อน้ำดื่ม ขนมปังและไส้กรอกแท่ง. ณ จุดนี้ก็ได้พบกับเหล้าดาวแดง เทียบได้กับเหล้าขาวของไทย แต่แพคเกจสวยงามกว่า.

จากนั้นเราก็เดินเท้าเรียบกำแพง โดยมีกำแพงอยู่ซ้ายมือและมีคลองน้ำอยู่ขวามือ ระหว่างทางก็พบกับคุณลุงเล่นดนตรีอย่างชิลๆ.

เดินไปสักพักก็จะพบกับจุดตรวจสัมภาระ แถวยาวมากๆ ประมาณ 100 – 200 เมตร, พั้นช์บอกว่านี่คนน้อยมากแล้ว ถ้าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ปกติหรือช่วงหยุดยาว คนอาจจะแน่นเหมือนเดิน 7 กิโลภายในร้านนั่งเล่นเอกมัย. หลังจากส่งพี่พั้นช์ไปตรวจสอบ ก็พบกับความจริงว่า คนที่สะพายกระเป๋ามา ต้องเดินผ่านเครื่องตรวจ. เราก็เลยนำกระเป๋ารวมไว้ที่คนเดียวและให้ต่อคิวไป ส่วนคนอื่นเดินไปรอข้างหน้า.
หลังผ่านจุดตรวจไปก็จะพบกับเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นประตูใหญ่ๆอันนึง ภายในบรรจุศพของอดีตท่านผู้นำ คุณเหมาเจ๋อตุง.

เดินผ่านเทียนอันเหมินเข้าไปก็จะพบกับประตูใหญ่ๆอีกบาน ณ จุดนี้ เราต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมวัง เสี่ยวเม่ยอาสาไปซื้อตั๋วให้. เราก็ไปเดินชมร้านขายของฝาก ซึ่งราคาสูงไม่ใช่น้อย.

หลังจากนั้นเราก็ไปเช่าอุปกรณ์ไกด์อัตโนมัติ มีลักษณะเหมือนไอพอดพร้อมหูฟัง ซึ่งรองรับหลายภาษามากๆ โดยมันจะทำงานเมื่อเราเดินไปถึงจุดที่กำหนดในแผนที่ มันจะพูดๆให้เราฟัง ไม่มียั้ง กดพอสได้แต่มันอาจจะไม่พูดอีกเลย, จะสั่งรีบู๊ทก็ไม่ได้.

เดินเข้าสู่ประตูแรก จะพบกับแผนที่และคำบรรยายถึงพระราชวังต้องห้ามโดยรวม เมื่อเดินออกจากประตูจะพบกับลานกว้างที่เรามักจะเห็นในหนังจีน โดยเฉพาะฉากลานสังหารในเรื่อง Curse of the golden flower และบันไดขึ้นสู่อาคารกลาง ที่มีลายมังกรยาวๆลาดลงมา. ข้างบนจะมีนาฬิกาแดด และรูปหล่อโลหะของนกกะเรียนและเต่า.
เส้นทางเดินจากฝั่งใต้ไปเหนือ รวมระยะทางประมาณ 6-8 กิโล เวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในการชม ประมาณได้เป็น 3-8 ชั่วโมง.


เราเดินออกไปทางขวาของอาคารหลักและพบกับจุดบริการคอสเพลย์ ก็เลยจัดเต็มกันคนละชุด (นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นมักจะเช่าชุดเดียวแล้วเวียนกัน).


หลังจากนั้นก็แวะนั่งทานมื้อเที่ยง ภายในบริเวณส่วนกลางนั่นแล มีร้านไม่มากนัก ราคาประมาณ 100 – 200 บาท, เราสั่งข้าวหน้าเนื้อตุ๋นและบะหมี่เนื้อมาทานกัน (เนื่องจากไม่มีทางเลือกมากนัก).

หลังจากทานเสร็จแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังโซนพิเศษของวัง นั่นก็คือ หอนาฬิกา ซึ่งจริงๆแล้วมันคืออาคารหลังนึงที่ทางการจีนเอาไว้จัดแสดงนาฬิกา, หากจะเข้าชมก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม.
หอนาฬิกาเป็นอาคารชั้นเดียวเหมือนวังทั่วไป ภายในมีนาฬิกาเป็นร้อยเครื่อง ล้วนแต่มีขนาดใหญ่จนถึงใหญ่มากๆ. นาฬิกาแต่ละเครื่องมักจะมีกลไกคล้ายๆแบบที่มีนกกลไกเด้งออกมาจากนาฬิกาในเวลา 6 โมงเย็น… แต่ของกษัตริย์จีนนี่ประหลาดพิสดาลกว่าเยอะ เพราะสมัยนั้นฝั่งยุโรปกำลังฮิตการทำกลไกและเครื่องจักรกล. มีห้องรวมนาฬิกาอยู่ห้องหนึ่ง ภายในมีนาฬิกาประหลาดอยู่ประมาณ 15 อัน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มาเปิดกลไกนาฬิกาทั้งหมด ในเวลา 14:00 – 14:04 น. (UTC+8), มีการเคลื่อนไหวแบบเห็นแล้วอึ้งพร้อมเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ.

ณ จุดนี้เหนื่อยเริ่มเหนื่อยละครับ. เดินตั้งแต่ 9 โมงจนบ่ายสาม แถมอากาศที่ปักกิ่งก็แย่มากสมคำร่ำลือ หายใจลำบากมาก แสบจมูกไปหมด. ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนนั้น จะเป็นช่วงที่ฝักบนต้นฝ้ายแตกพอดี ลมในเมืองปักกิ่งจะมีฝ้ายลอยผสมมาด้วยเยอะมาก สวยงามและหายใจไม่ออกอย่างแรง.
สุดท้ายเรามุ่งหน้าไปยังสวนของพระราชวัง ต้นสนสวยมากครับ ไม่รู้พันธุ์อะไร น่าเอามาปลูกจัง.
เราเดินๆออกมาทางประตูทิศเหนือของวัง มุ่งหารถเพื่อเดินทางไปยังถนนเฉียนเหมิน ประมาณว่าเป็นแหล่งช๊อปปิ้งเท่ๆ ของปักกิ่ง. แต่ทว่าหาแทกซี่ไม่ได้ครับ … แต่ ณ ประตูทิศเหนือนี่มีรถเมลล์ไฟฟ้า (นึกถึงรถบั๊มครับ แบบนั้นเลย มีสายไฟโยงไว้ด้านบน) รถเมลล์ และรถสามล้อ. เราก็เลือกที่จะขึ้นรถเมลล์กันมาครับ.

ขึ้นรถเมลล์มาลงที่ถนนคนเดินแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เฉียนเหมิน (Qian Men street) ซึ่งอยู่ตรงข้ามประตูวังฝั่งทิศใต้ (ทางที่เราเข้าวังมา) หรือพูดได้ว่ามันอยู่ที่จตุรัสเทียนอันเหมินนั่นเอง. มีเป้าหมายหลักคือมาทานเป็ดปักกิ่งในตำนาน. ร้านนี้ต้องจองคิวล่วงหน้านะฮะ. พอเข้ามาเราก็นั่งและจัดแจงสั่งอาหารอย่างไว. เป็ดปักกิ่งนั้นจะมาเสริฟโดยมีพ่อครัวมาหั่นโชว์กันที่โต๊ะเลย.



จากนั้นเราก็เดินๆบนถนนเฉียนเหมิน จนพบเจอร้านเหล้าที่ดูดีมาก ขอให้ชื่อว่า “ร้านเหล้าตราสามพ่อครัว”, ภายในร้านมีความเป็นมาและเหล้าจีนหลายรุ่นให้เลือกสรร.
ต่อมาเราเดินมั่วๆไปเข้าซอยข้างๆถนนเฉียนเหมินจึงได้พบกับถนนอีกเส้นที่ขนานกับเฉียนเหมิน. สภาพถนนเป็นแบบดั้งเดิมเลยฮะ. สองข้างทางขายของพื้นๆ ผู้คนขวักไขว่กว่าถนนเฉียนเหมินมาก. เราก็เดินไปซื้อของปิ้งย่างกิน โดยสั่งปลาหมึกปิ้งรสปาปิก้า. ต่อมาคุณมิ้งคริก็ไปสั่งไอติมแท่งนึง …ปรากฎว่าได้มาสามฮะ – -” lost in translation จริงๆ.

จบจากถนนเฉียนเหมิน, เราก็ส่งคุณแม่ขึ้นรถกลับโรงแรม และไปซิ่งกันต่อที่ถนนหวังฝูจิง (Wangfujing street). ถนนนี้จะมีซอยเล็กๆ ที่ขายของกินเล็กๆ และประหลาดๆ น่าเสียดายที่แบตโทรศัพท์หมดเลยถ่ายภาพมาได้นิดเดียว T-T.


เราเดินถนนเล็กๆเสร็จแล้วก็ไปเดินห้างใหญ่ๆ. ที่หวังฝูจิงมีห้างสรรพสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก. ถ้าให้เทียบก็เหมือนสยาม แต่มีห้างเยอะกว่า.
เดินไปจนห้างปิดหมด ร้านค้าก็ปิดเกือบหมด, ถึงเวลาหาแทกซี่กลับครับ. เดินหาประมาณ 1 ชั่วโมงเต็ม… ยังไม่พบเลย เจอแต่รถแทกซี่เหมา (แบบที่มีในไทยเป๊ะๆ), คุณเสี่ยวเม่ยถึงกับเดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยทีเดียว.
ในที่สุดคุณตำรวจก็ลงมือโบกแทกซี่ให้เองเลยฮะ. คันไหนไม่จอดอาจโดนเรียกไปปรับทัศนคติ.
ถึงโรงแรม, กลับเข้าห้องอาบน้ำ นวดขานอนพัก เตรียมเดินทางไปจ้านเจียงเพื่อร่วมงานแต่งพี่พั้นช์ในวันรุ่งขึ้น. จบวันที่สองอย่างเหนื่อยล้าสุดๆ.
