ครอบครัวบัวบานเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมเป็นเกียรติในงานแต่งงานพี่สาวที่จีน ระหว่างวันที่ 28 – 4 พฤษภาคม 2557 โดยมีเป้าหมายสองอย่างคือเที่ยวเมืองปักกิ่ง (Beijing) และไปงานแต่งงานที่เมืองจ้าวจวง (Zaozhuang) มณฑลซานตง (Shandong).
Contents
การเตรียมตัวและการเดินทาง
เตรียมวีซ่าาาาาา
คุณพี่พั้นช์ให้คำแนะนำว่า ติดต่อไปบริษัททัวร์เพื่อทำวีซ่าเพื่อความสะดวกรวดเร็ว. บัวบานก็จึงได้เดินทางไปยังบริษัททัวร์จิ้งอี้ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่สีลม เพื่อติดต่อทำวีซ่าให้บัวบานและครอบครัว รวม 4 คน. สิ่งที่ต้องเตรียมไปทำวีซ่านั้น ดูได้จากเว็บของจิ้งอี้ โดยจิ้งอี้คิดค่าบริการฉบับละ 1,300 บาท บริการส่งฟรีในเขตใกล้ๆถ้าเกิน 2 เล่ม แต่ถ้าไปขอวีซ่าเองที่สถานฑูตจีนจะเสียค่าบริการฉบับละ 1,000 บาท. สิ่งที่เอเย่นต์ทำให้เราก็คือการกรอกฟอร์ม การไปยื่นขอวีซ่า การไปรับวีซ่า และการส่งวีซ่ามาให้เรา.
หลังจากยื่นเอกสารให้จิ้งอี้ … ผ่านไป 1 วัน พนักงานจิ้งอี้ก็โทรมาขอเอกสารการแปลงเพศค่ะ….
บัวบานก็นึกว่าเขาโทรผิด … แต่เขายืนยันมาว่า ชื่อคุณปานxxx ใช่มั้ยคะ?
คราวนี้ชัดเลย…. กูไปแปลงเพศมาตอนไหนวะเนี่ย บัวบานก็พยามอธิบายว่า กูเปล่าาา กูยังไม่ได้ผ่าเว่ยเฮ้ยยย ยังอยู่ครบและใช้การได้ดี. เจ้าหน้าที่จิ้งอี้ก็บอกว่าหน้าสวยผมยาวสลวย กลัวจะไม่ได้วีซ่าเพราะเจ้าหน้าที่เขาเข้มงวดเรื่องนี้ เลยขอรูปแมนๆสักสองสามรูป บัวบานก็จัดรูปที่น่าจะดูแล้วไม่สร้างความสับสนส่งให้ไปทางไลน์. หลังจากผ่านไป 4 วันทำการ เขาก็บอกว่าได้วีซ่าครบทุกคนค่ะ และก็มีพนักงานมาส่ง ณ ตึกอื้อฯ.
ตั๋วเครื่องบิน
คุณพี่เขยและพี่สาวร่วมกันออกเงินค่าตั๋วให้หมดเลย T-T ขอบคุณมากค้าบบบ.
พี่เขยเลือกสายการบิน Hainan Airline ราคาตั๋วไป-กลับเบยจิงนั้น อยู่ที่ประมาณ 13,800 บาทต่อคน (เป็นช่วงโปรพอดี) ซึ่งราคารวม 4 คนอยู่ที่ 55,xxx ส่วน Air Asia จะประมาณ 58,xxx และการบินไทยอยู่ที่ 62,xxx บาท. เราก็แค่ปริ๊นท์ตั๋วเครื่องบินไปให้พร้อมเท่านั้นเอง.
สัมภาระ
ต้นเดือนพฤษภาคมนั้นเป็นช่วงย่างเข้าหน้าร้อน ซึ่งส่งผลให้อากาศที่จีนดีมากฮะ ไม่ต้องใช้เสื้อกันหนาวก็ได้ อุณหภูมิตอน 8 โมงจะประมาณ 18-22 องศาเซลเซียส ถือว่ากำลังดีกับดิฉันเลยค่ะ ส่วนของอื่นๆที่ควรมีก็กระดาษเปียก ทิชชู่ ยา เกลือ.
การเดินทาง
เดินทางจากสนามบินสุวรรณฯ โดยเครื่อง Boeing 737-800 ขนาดพอๆกับที่คนไทยนั่งนกแอร์ไปเที่ยวภูเก็ตนั่นล่ะฮะ T-T เล็กชะมัด. ขึ้นเครื่องตอนตี 1 ตรง มีแวะตกหลุมอากาศนิดหน่อยระหว่างเครื่องขึ้น. พอเวลาตี 2 กำลังหลับสบาย แอร์สาวก็เดินมาปลุกแล้วถามว่าขนมปังไข่ดาวมั้ยคะ … ไอ้เราก็ตอบว่าไม่เอา แต่ขอบะหมี่เป็ด … อืมม บะหมี่เป็ดอุ่นๆ เส้นแบบอุด้ง กับเป็ดแบบ MK รสชาติดีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
ก้าวแรกและวันแรกในประเทศจีน
หลังจากเครื่องบินลงจอด เราเข้ามายังอาคารผู้โดยสาร เจอพี่พั้นช์ พี่เขย และเสี่ยวเม่ยหรือชื่อจริงว่าเยี่ยนหัว ซึ่งเป็นน้องสาวพี่เขย (คำว่าเสี่ยวเม่ย แปลว่าน้องสาว). สิ่งแรกที่เราทำคือหาแท็กซี่เข้าที่พักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ปักกิ่ง. แท็กซี่ที่นี่ราคาไม่แพงมาก แต่มากกว่าไทยหน่อยนึง เริ่มต้นที่ 15 หยวน (ประมาณ 75 บาท) สภาพรถก็ค่อนข้างจะออกแนวอนุรักษ์นิยม แบบว่าไม่มีกระจกไฟฟ้า ที่สำคัญคือแท็กซี่ไม่เปิดแอร์นะฮ้าบบบบ ปล่อยให้ร้อนหมักหมมอยู่นานนนน นอนหลับจนหน้าเหนียวเลย. สภาพการจราจรในปักกิ่งก็ติดมิใช่น้อยเลย ถ้าให้เทียบก็พอๆกับวิ่งจากหัวลำโพงไปเดอะลอร์ด โดยผ่านทางพระราม4-อโศก-รัชดา. คุณเสี่ยวเม่ยบอกว่ามันติดเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนนี่ล่ะฮะ. รวมเวลานั่งแท็กซี่ประมาณชั่วโมงครึ่ง (ซึ่งปกติจะประมาณ 20-30 นาทีได้). ในที่สุดเราก็มาถึง Springs Valley Hotel เวลาประมาณ 8:30. ตัวโรงแรมอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ใกล้ๆกับหอเทียนถาน. ราคาที่พักไม่ทราบครับ เพราะว่าพี่สาวพี่เขยจ่ายให้หมดเลย

สิ่งแรกที่ทำเลยก็คือแปรงฟันครับ ฮ่ะๆ เพื่อเตรียมไปทานมื้อเช้านั่นเอง.
อาหารมื้อแรกในประเทศจีน
มื้อแรกของเราในประเทศจีนไม่ธรรมดาครับ คุณพี่เขยศึกษามาเป็นอย่างดี โดยจะพาไปร้านที่ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนชอบมาทานครับ ชื่อร้านว่าอะไรก็ไม่รู้.
อาหารก็เป็นซาลาเปาไส้เนื้อ ซาลาเปาไส้ผัก ถั่ว แตงกวาดอง ไก่ทอดรสเผ็ด และอาหารเส้นที่ท่านผู้นำชอบผมจำชื่อไม่ได้ฮะ. นั่งกัน 7 คน สั่งซาลาเปามา 20 ลูก อาหารอื่นๆอีก 10 กว่าจาน และโยเกิร์ต… สรุปว่าทานไม่หมดครับ เพราะรสชาติไม่ค่อยถูกปากคนไทย ซาลาเปาจืดไปนิด ถั่วรสเค็ม แตงกวาดองเปรี้ยวหวานโอเค แต่ไอ้เมนูที่ท่านผู้นำชอบนี่ จืดมากกกกกกกกกกกกก.


กำแพงเมืองจีน
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เราก็รีบกลับโรงแรมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมออกเดินทางไปเยี่ยมชมสิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่ที่สุด… กำแพงเมืองจีน. เนื่องจากมันเป็นกำแพงที่ยาวที่สุดในโลกนะฮะ เราก็ต้องเลือกเอาว่าจะปีนรั้วที่จุดไหนดี โดยพี่เขยและเสี่ยวเม่ยตัดสินใจมาแล้วว่าเราจะไปที่ปาต๋าหลิง (Badaling).
การอ่านป้ายภาษาอังกฤษ
มาถึงจุดนี้ขอคั่นด้วยการอ่านภาษาจีนแบบเดาๆ นิดนึงครับ. เนื่องจากวันแรกที่จีน ทำเอาบัวบานงงมากว่าเขาพูดอะไรกัน, ป้ายเขียนแบบนึง ทำไมพูดอีกแบบนึง. หลังจากวิเคราะห์หาความสัมพันธ์อยู่สองสามวัน ก็ได้ข้อสรุปประมาณนี้ฮะ.
- B ออกเสีย ป
- D ออกเสียง ต
- Q ออกเสียง ฉ
- Zh ออกเสียง จ
- Sh ออกเสียง ซ
- Shen ออกเสียง เซิน
- Men ออกเสียงเหมิน
- Cheng ออกเสียง เฉิง
เดินทางไปกำแพงเมืองจีนที่ปาต๋าหลิง
คุณพี่เขยพาเราขึ้นรถเมล์ไปที่เทียนถาน ซึ่งมีสถานีรถไฟใต้ดินสถานีเทียนถาน. จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไปจนถึง Beijing North Railway Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าบนดิน เพื่อเดินทางไปปาต๋าหลิงซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปักกิ่ง. ภายในรถไฟใต้ดินก็มีสภาพเหมือนๆ กับรถไฟใต้ดินในไทย มีคนลุกให้เด็กและคนชรานั่งด้วย ไม่พบคนถุยน้ำลาย ทานอาหาร และอึอื๊ออในรถไฟ.



หลังจากมึนงงหลงทางเบาๆอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินกันอยู่พักนึง คุณพี่เขยก็พาเรามาจนถึง Beijing North Railway จนได้ฮะ. เราเดินขึ้นไปชั้น G แล้วออกมาข้างนอกก็พบกับ Beijing North Railway Station และเคาเตอร์ขายตั๋ว. คุณพี่เขยและเสี่ยวเม่ยก็รีบไปซื้อตั๋วรถไฟในทันใด.

หลังจากซื้อตั๋วไปปาต๋าหลิงเสร็จ คุณพี่เขยก็ขอแยกทางไปขึ้นรถไฟความเร็วสูงเดินทางไปซานตง เพื่อไปเตรียมการงานแต่งล่วงหน้า. ส่วนคณะเดินทางก็เดินเท้าเข้าสู่อาคารพักผู้โดยสาร. หลังจากยืนรอประมาณ 15 นาที เราก็ได้เข้ามาที่ชานชาลา.

รถไฟความเร็วสูงขบวนนี้นี่วิ่งด้วยความเร็วค่อนข้างต่ำ คุ้นๆว่าประมาณ 80-100 กม/ชม.รถไฟเป็นแบบไม่ระบุที่นั่ง ดังนั้นผู้โดยสารจึงรีบเข้าไปหามุมเหมาะๆ ที่นั่งภายในเป็นแบบ 3-2 ที่นั่งในหนึ่งแถว เราก็เลือกหาที่นั่งฝั่ง 3 ได้สองแถว.
หลังจากนั่งรอประมาณ 2 นาที ก็มีหนุ่มจีนใจดี เดินมาทักทายและบอกกับเสี่ยวเม่ยว่า “… พวกคุณนั่งผิดทางนะ ผมเป็นห่วง”. กล่าวคือเรากำลังนั่งหันหลังอยู่ครับ ซึ่งเวลารถไฟวิ่งเราอาจจะมึนได้ เขาเลยมาเตือนด้วยความหวังดี.
เราก็เลยรีบหาที่ใหม่ครับ แต่สายไปเสียแล้ว ไม่มีที่นั่งติดๆกันเลย… เราเลยแยกย้ายกันไปนั่งครับ.

ผ่านไปประมาณ 80-90 นาที เราก็มาถึง Badaling Railway Station. เดินเท้าไปประมาณ 1 กิโล ขึ้นบันได้อีกนิดหน่อย ก็มาถึงจุดขายตั๋วกระเช้าลอยฟ้า.
กระเช้าลอยฟ้าที่นี่ไม่จอดรับคนนะฮะ มันวิ่งวนไปเรื่อยๆ ใครอยากขึ้นต้องกระโดดขึ้นให้ถูกจังหวะ – -” …. มันจะหยุดนิ่งระหว่างทาง 2-3 ครั้งเพื่อให้เราได้ชมบรรยากาศในหุบเขา. พอขึ้นถึงข้างบน จะพบกับป้ายบอกเส้นทางดังรูปข้างล่าง แม่งภาษาจีนล้วนๆ.

เราเลือกเดินลงครับ เพราะไม่อยากเดินขึ้นเขา และเพื่อความคุ้ม เพราะเส้นทางมันยาวดี.

เดินชมกำแพงเมืองจีน
อุณหภูมิบนเขาในวันนั้นกำลังสบายฮะ (28 พฤษภาคม 15:00 น.) น่าจะประมาณ 25 องศา. กำแพงเมืองจีนที่ปาต๋าหลิงนี้ถูกสร้างจากอิฐเผาและปูนขาวเนื่องจากมันด่านสำคัญ ส่วนกำแพงเมืองจีนที่จุดอื่นๆที่ไม่ค่อยสำคัญจะถูกสร้างด้วยดิน ฟาง และมีอิฐเป็นบางส่วน.

ตามทางเดินบนกำแพงก็จะมีป้ายห้ามป้ายเตือนห้ามขีดเขียนปีนป่าย. แต่ทุกประเทศย่อมมีคนอ่านหนังสือไม่ออก – -” โดยเฉพาะที่จีนนี่จัดเต็มมาก เรียกได้ว่าอิฐแทบทุกก้อนมีลายลักษณ์อักษรภาษาจีน.

ทางเดินมีทั้งแบบแนวราบ จุดลาดชันน้อย ปานกลาง ไปถึงชันระดับชันมาก. ใครคิดจะไปเที่ยวควรตัดสินใจก่อนอายุ 55 นะครับ. ทางเดินที่ชันมากๆจะมีราวให้จับ. ราวจับนั้นมีการออกแบบมาดีเลยฮะ โดยจะมี 2-3 ราวซึ่งมีความสูงแตกต่างกันสำหรับคนต่างๆกัน ถ้าไม่ถูกใจราวซ้าย ก็เปลี่ยนไปลองราวกลางหรือขวาได้.

บนกำแพงนั้นจะมีทางลงและประตูออกไปนอกกำแพงเป็นระยะๆ ผมเองก็ว่าจะลงไปเก็บภาพทางออกแต่ทว่ากลิ่นมันน่าสะพรึงมากๆ T-T. ทำได้มากสุดแค่ยืนตรงปากทางลง. ระหว่างทางเดินไปก็จะมีป้อมอยู่สองสามอันครับ เขาว่ากันว่ามันเอาไว้พักผ่อน, ส่งสัญญาณควันสำหรับแจ้งข่าวการโดนโจมตี, และก็เอาไว้ป้องกันการโจมตีด้วยธนูจากนักรบมองโกล.


หลังจากเดินขึ้นๆลงๆอยู่ประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็จะพบกับจุดสิ้นสุดและบริเวณขายของชำร่วยฮะ. สำหรับคนที่อยากเดินบนกำแพงต่อก็ทำได้นะฮะ แต่ทางเดินหลังจากนี้เป็นการขึ้นเขา อย่างไกล.
ณ จุดนี้เราจะพบกับป้ายหินแกะสลัก. เสี่ยวเม่ยแปลให้ฟังว่า “ท่านคือผู้พิชิตกำแพงเมืองจีน” แต่ตอนนี้ผู้พิชิตขาสั่นหมดแล้ว T-T.


บริเวณขายของฝากของชำร่วยก็มีเสื้อผ้า กำไล สร้อย ไอติมแมกนัม ขนมกรุบกรอบทั่วไป ซึ่งราคาแพงกว่าในเมืองสองเท่า. คุณมิ้งคริทานแมกนัมไปอันหนึ่้ง ราคา 15 หยวน (ประมาณ 75 บาท). ซึ่งภายหลังได้ทราบจากเสี่ยวเม่ยว่า เราควรลองต่อราคาดูนะ ไอติมก็ต่อราคาได้ …

เดินทางกลับเข้าปักกิ่ง
ณ เวลา 16:30 เราก็เดินมุ่งหน้าไปหารถบัส เพราะรถไฟฟ้าหมดไปแล้ว. เราเดินไปขึ้นชัทเติ้ลบัสใกล้ๆจุดขายของชำร่วย เพื่อไปที่สถานีรถบัส. เมื่อถึงสถานีก็พบว่ามีคนหลายร้อยคนยืนรอรถอยู่ T-T โอวชิท. เสี่ยวเม่ยจึงเดินไปคุยกับรถแท็กซี่แบบเหมา เขาบอกว่าให้เราไปที่ถนนใหญ่แล้วรอที่นั่นดีกว่านะ เดี๋ยวเขาไปส่งเอง ขอแค่ 60 หยวน T-T… แพงสัส แต่ก็ต้องยอม. เราก็ขึ้นแท็กซี่ แล้วคนขับก็พามาลงข้างถนนแห่งหนึ่ง, คนขับบอกว่าไม่เกิน 10 นาทีก็น่าจะเจอรถเมล์ แต่เรารอ 30-40 นาทีเลยทีเดียว ฮ่ะๆ. คนขับแท็กซี่ก็ต้องยืนรอกับพวกเราด้วยเพราะเสี่ยวเม่ยไม่ยอมจ่ายเงินให้ง่ายๆ ^.^

ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถบัสแล้ว สภาพน่าพอใจกว่ารถบัสในไทยมากเลย. รถบัสวิ่งเข้าเมืองปักกิ่งโดยใช้ประมาณชั่วโมงครึ่ง รถมาจอด ณ จุดน่าสนใจจุดหนึ่งของปักกิ่งฮะ มันคือหอกลองและหอระฆัง “Drum-Bell Tower” …


ลงรถเมลล์มาเจอคนพลุกพล่าน เพราะเป็นช่วงเลิกงานกันพอดี. เสี่ยวเม่ยพยามหาแท็กซี่แต่ว่าเขาขอเหมาในราคาแพง เราเลยได้ขึ้นรถเมล์กลับโรงแรมกันฮะ.


มื้อค่ำครั้งแรกในจีน ณ ร้านหม้อไฟในตำนาน
กลับไปถึงห้องปุ๊บเราก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมออกไปทานมื้อเย็นในตำนาน ตำนานจริงๆ นะฮะ. ร้านหม้อไฟต้นตำหรับของจีน เรียกได้ว่าเป็นร้านหม้อไฟร้านแรกๆในโลกเลยก็ว่าได้. เราไปถึงร้านประมาณสองทุ่ม ภายในร้านมีแบบห้องส่วนตัวและที่นั่งรวมๆ มีคนทานอยู่ไม่เยอะนักเพราะร้านใกล้จะปิดแล้ว ในเวลาสามทุ่มครึ่ง.



แล้วเราก็ตะลุยสั่งอาหารในทันที เนื้อแกะ เนื้อวัว ปลา บะหมี่. พยามหาเมนูเนื้อหมูแต่ไม่เห็นเลยยยยยย. ณ จุดนี้ งงมาก คือได้ยินตำนานว่าคนจีนนับถือเจ้าแม่กวนอิมจะไม่ทานเนื้อวัว, แต่พอมาจีน คนจีนกินแต่วัวแพะแกะ หาหมูยากมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีเลย (เมื่ออาหารมื้อเช้าก็ไม่มีซาลาเปาหมูนะ มีแต่วัวกะแกะ).
น้ำจิ้มที่นี่ไม่ฟรีฮะ ต้องเสียตังสั่งมาซึ่งมีให้เลือกสองแบบ เราเลยสั่งแบบน้ำจิ้มถ้วยคู่มาคนละชุด พนักงานถึงกับงงว่าเอาน้ำจิ้มมาทำอะไรเยอะแยะ. พอได้เห็นขนาดถ้วยน้ำจิ้มแล้วถึงกับสะดุ้ง ถ้วยมันใหญ่ยังกะถ้วยซุป โดยเป็นน้ำจิ้มงาและน้ำจิ้มคล้ายๆพริกเผา. และก็มีบะหมี่อะไรสักอย่างมาด้วย ซึ่งพั้นช์บอกว่ามันมีส่วนผสมของ “ม๋าล่า” ซึ่งให้รสชา กินแล้วจะทำให้รสชาติอาหารผิดเพี้ยนไปหมด T-T.

เราใส่ผักและเริ่มทำการจุ่มเนื้อ เนื้อแกะมันมีกลิ่นแบบที่ผมไม่ค่อยถูกปากนัก แต่ก็ถูกปากคนอื่นๆ ดี. ภายในหม้อเริ่มต้นจะมีน้ำและเห็ดอะไรไม่รู้. โต๊ะข้างๆ ดื่มเหล้าเบียร์กันจนหน้าแดงแล้ว แถมสูบบุหรี่ในร้านได้เลยด้วยฮะ. โต๊ะถัดไปก็กำลังเอาเต้าหู้ขึ้นมาแปะไว้กับปล่องไฟ เราก็เลยลองเลียนแบบบ้าง โดยการต้มให้นุ่มแล้วคีบมันขึ้นมาแปะไว้ พอเริ่มมีสีน้ำตาลไหม้ๆก็เอาเข้าปากได้เลย.

หลังจากทานเสร็จเรียบร้อยเราก็กลับออกมาหาแท็กซี่กัน ณ จุดนี้เกือบโดนรถมอไซฯชน เพราะว่าที่จีนนี่คนต้องหลบรถฮะ แล้วถนนก็ค่อนข้างสับสนมาก เพราะมันวิ่งได้แบบฟรีฟอร์ออลเลย. กล่าวคือมอไซจักรยานจะวิ่งได้ตามใจ ไม่มีไฟแดง เจอแยกไม่ต้องเบรก เจอคนไม่ต้องเบรก. บีบแตรใส่กันเขาก็ไม่โกรธกันด้วยนะเออ.
กลับมาถึงโรงแรมก็แวะซื้อเบียร์อันดับหนึ่ง “ชิงเต่า” รสออริจินัล เทียบชื่อชั้นก็น่าจะประมาณเบียร์สิงห์เมื่อ 20 ปีก่อน. ชิงเต่าเป็นเบียร์แห่งของประเทศจีนเลยนะฮะ เริ่มต้นเป็นของบริษัทจากเยอรมัน จึงให้รสชาติเทียบได้กับเบียร์เยอรมัน. รสชาติก็จืดๆ แถมดื่มยากเพราะไม่ค่อยเย็นนัก ไม่รู้ทำไมชาวจีนไม่ค่อยดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หนักกว่านั้นคือหาซื้อน้ำแข็งแทบไม่ได้เลยทีเดียว. ดื่มเสร็จก็เข้านอน จบวันแรกลงซะที หุหุ.
